ในช่วงเวลาสามปีมีอะไรผ่านไปตั้งเยอะ. แต่วันนี้คิดว่าจะกลับมาเริ่ม 'blog' ใหม่อีกสักที...
บทเพลงที่มีความหมายมากกับเราในช่วงนี้เป็นบทเพลงเกี่ยวกับความรัก. เราเคยคิดว่าคนเราจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตจริงๆได้ไม่เกินเพียงคนๆเดียว. ในช่วงเวลาที่เรามีใคร คนนั้นมักจะเป็นคนๆนั้นของเรา (a.k.a. 'My Person) โดยส่วนตัวก็จะคิดต่อไปว่ามันจะไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาแทนที่ตรงนั้นของเขาได้
แต่ตอนนี้ ความรัก ที่จะ 'ใหญ่' หรือ 'เล็ก' มันไม่ใช่สาระ... ความรักนั้น คือสิ่งสวยงามที่เตือนเราเสมอให้เราอยู่ในปัจจุบัน Don't think about the past too much or concern yourself with what may or may not happen. But take it as a very gift that is present.
"L'Hymne à l'amour" เป็นบทเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงการต้องอยู่ในปัจจุบันและทำให้มันดีที่สุดก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป... เป็นเพลงของ Edith Piaf ที่แต่งให้กับ Marcel Cerdan นักมวยชาว ฝรั่งเศษ เชื้อสายโมร็อกโก ที่เป็นแชมป์โลกรุ่นมิดเดิ้ลเวท เมื่อปี 1948 โดยรวมแล้ว ชีวิตรักของ Edith นั่น หวือหวา เธอมีคนรักหลายคน ต่างเวลาต่างความหมายที่นำมาสู่ความรักนั้นๆ แต่คนที่เธอรักที่สุดคือ Marcel. ใครๆอาจจะสงสัยว่าทำไม ความรักระหว่างเธอกับเขาถึงจะเป็นเรื่องที่ผู้อื่นรับรู้ได้ถึง- นั่นก็เพราะว่าหลังจาก Marcel พ่ายแชมป์โลกไปให้กับ Jack LaMotta ในปี 1949 เขาทั้งคู่ก็ได้มีกำหนดการทวงเข็มขัดแชมป์คืนที่ Madison Square Gardens, New York City ในวันที่ 2 December 1949 แต่ไม่กี่วันก่อนวันขึ้นชก Marcel ได้เสร็จสิ้นภาระกิจของการอุ่นเครื่องและฝึกซ้อม จึงตัดสินใจบินไป New York จากเมือง Troyes. เขาไม่มีวันที่จะได้เจอเธออีก เพราะ เครื่องบินตกที่ในหมู่เกาอซอร์เรส กลาง Atlantic Ocean in Portuguese territories.
"L'Hymne à l'amour" จึงเป็นเพลงที่ Edith แต่งให้ชายที่เธอรัก เนื้อความแปลเป็นภาษาไทยอยู่ข้างล่าง:
Le ciel bleu sur nous peut s'effondrer
Et la terre peut bien s'écrouler
Peu m'importe si tu m'aimes
Je me fous du monde entier
Tant qu'l'amour inondera mes matins
Tant que mon corps frémira sous tes mains
Peu m'importe les problèmes
Mon amour puisque tu m'aimes
J'irais jusqu'au bout du monde
Je me ferais teindre en blonde
Si tu me le demandais
J'irais décrocher la lune
J'irais voler la fortune
Si tu me le demandais
Je renierais ma patrie
Je renierais mes amis
Si tu me le demandais
On peut bien rire de moi
Je ferais n'importe quoi
Si tu me le demandais
Si un jour la vie t'arrache à moi
Si tu meurs que tu sois loin de moi
Peu m'importe si tu m'aimes
Car moi je mourrais aussi
Nous aurons pour nous l'éternité
Dans le bleu de toute l'immensité
Dans le ciel plus de problèmes
Mon amour crois-tu qu'on s'aime
Dieu réunit ceux qui s'aiment
ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าโลกนี้จะหมุนไปทางใด
ไม่สนใจหรอกนะว่าฟ้าจะร้องสั่นสะเทือนแค่ไหน
และยิ่งไม่สนใจหากแผ่นดินจะแห้งแล้งเร่าร้อน
ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ตราบนานเท่านานที่ความรักของเธอจะโอบอุ้มฉันไว้
ในยามเช้าที่ฉันตื่นขึ้น ในยามที่เธอกอดฉันไว้ในอ้อมแขนฉัน
ไม่สนใจหรอกนะแม้ความรักของเราจะมีปัญหา
ไม่สนใจหรอกนะไม่ว่าความรักของเราจะมีอุปสรรคมากเท่าใด
และยิ่งไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่เธอยังรักฉัน
ฉันขอเพียงให้เธอรักฉันเท่านั้น
หากเธอกล้าถามหาบทพิสูจน์ความรักของฉัน
ฉันเองก็ยินดีหากจะพิสูจน์ให้เธอรู้ว่า
ฉันยินดีที่จะออกเดินทางไปทุกที่
ทำทุกอย่างตามกำลังเท่าที่มีเพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็นถึงความรักของฉัน
ฉันยอมทุกอย่าง..ยอมเพื่อเธอเสมอมา
ฉันยอมเดินทางค้นหาไปสุดขอบโลก
ยอมเดินทางแสนไกลไปถึงดวงจันทร์
ยอมแลกค่ำคืนเริงระบำกับหมู่เพือน
ยอมแลกทุกสิ่งที่ฉันมีอยู่เพียงเพื่ออย่างเดียว..เพื่อความรักของเธอเท่านั้น
เพื่อให้เธอรู้ว่าฉันรักเธอมากเพียงใด
ฉันรู้ว่าความรักของฉันมันน่าหัวเราะ
บางทีเธออาจจะเห็นมันไม่มีค่า
แต่ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเห็นมันมีค่าหรือไม่
เพราะฉันยอมทุกอย่างแล้ว..เพื่อที่จะได้รักเธอ
หากวันหนึ่งชะตาชีวิตดึงเธอให้ห่างจากฉันไป
ไม่ว่าจะเป็นจากชะตาหรือความตาย
ไม่ว่าตอนนั้นหัวใจเธอเป็นเช่นไร
โปรดจงรู้ไว้ว่าหัวใจของฉันก็แหลกสลายไปด้วยเฉกเดียวกัน
พระเจ้าให้เรามาเจอกันเพื่อความรักอันเป็นนิรันดร์
ภายใต้ผืนฟ้าสีน้ำเงินกว้างแห่งอุปสรรคอันยิ่งใหญ่
โปรดเชื่อฉันเถอะนะว่ารักของเรามีอยู่จริง
และโปรดเชื่อฉันเถอะนะว่าเรารักกัน
โปรดเชื่อเถอะนะว่าเรารักกัน
- My heart and prayers goes out to those in Paris. Hoping that everyone will pass through this time heart breaking time of tragedy with courage and strength.
บทเพลงที่มีความหมายมากกับเราในช่วงนี้เป็นบทเพลงเกี่ยวกับความรัก. เราเคยคิดว่าคนเราจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตจริงๆได้ไม่เกินเพียงคนๆเดียว. ในช่วงเวลาที่เรามีใคร คนนั้นมักจะเป็นคนๆนั้นของเรา (a.k.a. 'My Person) โดยส่วนตัวก็จะคิดต่อไปว่ามันจะไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาแทนที่ตรงนั้นของเขาได้
แต่ตอนนี้ ความรัก ที่จะ 'ใหญ่' หรือ 'เล็ก' มันไม่ใช่สาระ... ความรักนั้น คือสิ่งสวยงามที่เตือนเราเสมอให้เราอยู่ในปัจจุบัน Don't think about the past too much or concern yourself with what may or may not happen. But take it as a very gift that is present.
"L'Hymne à l'amour" เป็นบทเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงการต้องอยู่ในปัจจุบันและทำให้มันดีที่สุดก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป... เป็นเพลงของ Edith Piaf ที่แต่งให้กับ Marcel Cerdan นักมวยชาว ฝรั่งเศษ เชื้อสายโมร็อกโก ที่เป็นแชมป์โลกรุ่นมิดเดิ้ลเวท เมื่อปี 1948 โดยรวมแล้ว ชีวิตรักของ Edith นั่น หวือหวา เธอมีคนรักหลายคน ต่างเวลาต่างความหมายที่นำมาสู่ความรักนั้นๆ แต่คนที่เธอรักที่สุดคือ Marcel. ใครๆอาจจะสงสัยว่าทำไม ความรักระหว่างเธอกับเขาถึงจะเป็นเรื่องที่ผู้อื่นรับรู้ได้ถึง- นั่นก็เพราะว่าหลังจาก Marcel พ่ายแชมป์โลกไปให้กับ Jack LaMotta ในปี 1949 เขาทั้งคู่ก็ได้มีกำหนดการทวงเข็มขัดแชมป์คืนที่ Madison Square Gardens, New York City ในวันที่ 2 December 1949 แต่ไม่กี่วันก่อนวันขึ้นชก Marcel ได้เสร็จสิ้นภาระกิจของการอุ่นเครื่องและฝึกซ้อม จึงตัดสินใจบินไป New York จากเมือง Troyes. เขาไม่มีวันที่จะได้เจอเธออีก เพราะ เครื่องบินตกที่ในหมู่เกาอซอร์เรส กลาง Atlantic Ocean in Portuguese territories.
"L'Hymne à l'amour" จึงเป็นเพลงที่ Edith แต่งให้ชายที่เธอรัก เนื้อความแปลเป็นภาษาไทยอยู่ข้างล่าง:
Le ciel bleu sur nous peut s'effondrer
Et la terre peut bien s'écrouler
Peu m'importe si tu m'aimes
Je me fous du monde entier
Tant qu'l'amour inondera mes matins
Tant que mon corps frémira sous tes mains
Peu m'importe les problèmes
Mon amour puisque tu m'aimes
J'irais jusqu'au bout du monde
Je me ferais teindre en blonde
Si tu me le demandais
J'irais décrocher la lune
J'irais voler la fortune
Si tu me le demandais
Je renierais ma patrie
Je renierais mes amis
Si tu me le demandais
On peut bien rire de moi
Je ferais n'importe quoi
Si tu me le demandais
Si un jour la vie t'arrache à moi
Si tu meurs que tu sois loin de moi
Peu m'importe si tu m'aimes
Car moi je mourrais aussi
Nous aurons pour nous l'éternité
Dans le bleu de toute l'immensité
Dans le ciel plus de problèmes
Mon amour crois-tu qu'on s'aime
Dieu réunit ceux qui s'aiment
ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าโลกนี้จะหมุนไปทางใด
ไม่สนใจหรอกนะว่าฟ้าจะร้องสั่นสะเทือนแค่ไหน
และยิ่งไม่สนใจหากแผ่นดินจะแห้งแล้งเร่าร้อน
ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ตราบนานเท่านานที่ความรักของเธอจะโอบอุ้มฉันไว้
ในยามเช้าที่ฉันตื่นขึ้น ในยามที่เธอกอดฉันไว้ในอ้อมแขนฉัน
ไม่สนใจหรอกนะแม้ความรักของเราจะมีปัญหา
ไม่สนใจหรอกนะไม่ว่าความรักของเราจะมีอุปสรรคมากเท่าใด
และยิ่งไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่เธอยังรักฉัน
ฉันขอเพียงให้เธอรักฉันเท่านั้น
หากเธอกล้าถามหาบทพิสูจน์ความรักของฉัน
ฉันเองก็ยินดีหากจะพิสูจน์ให้เธอรู้ว่า
ฉันยินดีที่จะออกเดินทางไปทุกที่
ทำทุกอย่างตามกำลังเท่าที่มีเพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็นถึงความรักของฉัน
ฉันยอมทุกอย่าง..ยอมเพื่อเธอเสมอมา
ฉันยอมเดินทางค้นหาไปสุดขอบโลก
ยอมเดินทางแสนไกลไปถึงดวงจันทร์
ยอมแลกค่ำคืนเริงระบำกับหมู่เพือน
ยอมแลกทุกสิ่งที่ฉันมีอยู่เพียงเพื่ออย่างเดียว..เพื่อความรักของเธอเท่านั้น
เพื่อให้เธอรู้ว่าฉันรักเธอมากเพียงใด
ฉันรู้ว่าความรักของฉันมันน่าหัวเราะ
บางทีเธออาจจะเห็นมันไม่มีค่า
แต่ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเห็นมันมีค่าหรือไม่
เพราะฉันยอมทุกอย่างแล้ว..เพื่อที่จะได้รักเธอ
หากวันหนึ่งชะตาชีวิตดึงเธอให้ห่างจากฉันไป
ไม่ว่าจะเป็นจากชะตาหรือความตาย
ไม่ว่าตอนนั้นหัวใจเธอเป็นเช่นไร
โปรดจงรู้ไว้ว่าหัวใจของฉันก็แหลกสลายไปด้วยเฉกเดียวกัน
พระเจ้าให้เรามาเจอกันเพื่อความรักอันเป็นนิรันดร์
ภายใต้ผืนฟ้าสีน้ำเงินกว้างแห่งอุปสรรคอันยิ่งใหญ่
โปรดเชื่อฉันเถอะนะว่ารักของเรามีอยู่จริง
และโปรดเชื่อฉันเถอะนะว่าเรารักกัน
โปรดเชื่อเถอะนะว่าเรารักกัน
- My heart and prayers goes out to those in Paris. Hoping that everyone will pass through this time heart breaking time of tragedy with courage and strength.
ชอบมากมายกับเพลงนี้ค่ะ ขอแชร์นะคะ
ReplyDeleteThe most beeutiful love song in my heart.
ReplyDelete